เกี่ยวกับเรา

ชมรมพุทธเอ็นที(NT) บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด(มหาชน) เปลี่ยนชื่อจาก ชมรมพุทธทีโอที บริษัททีโอที จำกัด(มหาชน) ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตามเวลา เหตุปัจจัยที่เปลี่ยนไป และการเปลี่ยนแปลงขององค์กร ชมรมพุทธ ได้ก่อตั้งขึ้นมา ตั้งแต่เป็นองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย สืบทอดมาถึงปัจจุบันกว่า ๒๗ ปี และยังคงดำเนินงานในการที่จะส่งเสริมให้มีการร่วมทำบุญตักบาตร ฟังธรรม/ปฏิบัติธรรม กับพระกรรมฐาน พ่อแม่ครูอาจารย์วิปัสสนากรรมฐานเป็นประจำเสมอมา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่องค์กร พนักงาน และผู้สนใจทั่วไป นำพาไปสู่การพัฒนาจิต ให้มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นคนดีของสังคม ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติตามค่านิยมของชมรมฯที่ว่า “พัฒนาคุณภาพชีวิต คิดอย่างมีหลักใจ เข้าถึงไตรสรณคมน์” โดยสิ่งดี ๆ เหล่านี้พนักงานยังได้นำไปถ่ายทอดให้แก่สมาชิกในครอบครัว และเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคมต่อไป

ชีวิตและการปฏิบัติธรรม

ชีวิตและการปฏิบัติธรรม

  แค่ให้ทาน รักษาศีลมันยังไม่พอ ต้องฝึกจิตกันด้วย เพราะจิตนี้มันไว อะไรมากระทบตา กระทบหู กระทบใจ ก็คิด วิเคราะห์ไปตามวิสัยของเรา   หากปกติเป็นคนคิดดี คิดด้วยปัญญามันก็ออกแนวสร้างสรรค์ ไม่ให้ร้าย   แต่ถ้าปกติเป็นคนอคติ เห็นอะไร คิดอะไรก็พลอยแต่จะกร่นด่า บริพาทมันก็ออกแนวให้ร้าย ทำลายกัน  จิตที่ไม่ได้ถูกฝึกเมื่อมีสิ่งมากระทบก็ปรุงแต่งดี ชั่ว ไปเรื่อยปรุงดีก็เป็นสุข ปรุงชั่วก็เป็นทุกข์นั้นจึงเป็นเหตุให้เราต้องมาควบคุมจิตไว้ด้วยการหัดมีสติระลึกรู้อยู่ในปัจจุบันขณะสิ่งใดกระทบ รับให้ทัน รับแล้ววางๆ ไม่ว่ายินดี ยินร้าย อย่าไปถือเอาไว้เพราะถ้าไปถือไว้..สุดท้ายมันก็ทุกข์อยู่ดี

          การปฏิบัติธรรมไม่ใช่กิจเฉพาะนักบวชเท่านั้น  แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติ ตราบใดที่เรายังมีโลภ โกรธ หลง ตราบใดที่ความอยาก ไม่อยากยังมี เพราะกิเลสเหล่านี้เล่นงานทุกคน ทุกชนชั้นวรรณะ ไม่เลือกหน้าไหนทั้งนั้น ถ้าไม่เข้ามาปฏิบัติอย่างจริงจังจะไม่มีโอกาสได้รู้ได้เห็นกิเลสตัวเอง

          บางคนบอก..ไม่จำเป็นต้องมาทำขนาดนี้ฉันก็เห็นตัวเอง รู้จักตัวเองดีการที่จะเห็นตัวเองในด้านเสีย และแก้ไขได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะโดยส่วนมากมักเข้าข้างตัวเอง เอาใจกิเลสตัวเอง เห็นนิสัยเสียๆ ของตนเป็นเรื่องเล็กน้อย

          พระพุทธองค์ท่านสอนว่า..” เราอย่ายินดีในบาปเพียงน้อยนิด ” เพราะการสะสมบาปอกุศลเพียงน้อยนิดไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็เป็นบาปใหญ่ได้ฉะนั้น เราควรหมั่นเจริญสติให้ระลึกรู้อยู่กับสิ่งที่ทำกับสิ่งที่คิด กับสิ่งที่พูด หรือเรียกง่ายๆ ว่า ” มีสติอยู่กับกายกับใจ ” อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ โดยอาศัยกายกับใจของเราเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญ ใช้สติเป็นกำลังสำคัญ

          พิจารณาสิ่งที่คิด พูด ทำว่า..สมควรแก่ธรรมหรือไม่ สิ่งใดควรละ สิ่งใดควรเจริญการชำระล้างกิเลสนิสัยเสียของเรา จึงเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเราใครจะมาทำแทน ใครจะมาขัด มาล้างให้เราก็ไม่เท่าเราได้ลงมือทำด้วยตนเอง

ดับทุกข์ทางโลกด้วยธรรมะ

ดับทุกข์ทางโลกด้วยธรรมะ

ไม่มีใครไหนเลยจะล่วงรู้ว่า วันเวลาข้างหน้าว่าจะเป็นเช่นไร ความจนหรือที่ทำให้เกิดทุกข์ ความรวยหรือที่ทำให้เกิดสุข ย่อมไม่มีใครรู้ถ่องแท้  หากไม่ประสบด้วยตนเอง ก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ความพอเพียงนั้นคือที่มาแห่งความสุขที่แท้จริง การเปลี่ยนแปลงไปสู่จุดที่สูงกว่าที่คนส่วนใหญ่ต่างเชื่อกันว่าจะนำพาทุกอย่างเข้ามาและช่วยทำให้ชีวิตนั้นดีขึ้น อาจไม่แน่นอนเสมอไป  เราต้องปรับใจเรียนรู้ให้เท่าทันสัจธรรมแห่งโลกธรรมทั้ง  8 แห่งการเปลี่ยนแปลง ว่าไม่มีสิ่งใดแน่นอนเป็นของเราเอง ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เป็นวัฏจักรอยู่เช่นนั้น  เพราะเมื่อมีลาภก็ย่อมมีวันที่เสื่อมลาภ มียศก็ย่อมมีวันที่เสื่อมยศ เมื่อมีสุขก็ย่อมพบพานกับทุกข์ เมื่อมีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา

     “ในดีมีเสีย ในเสียมีดี” …เมื่อทุกข์มากระทบ ย่อมกระเทือนมาสู่ใจ อย่าหนีปัญหาแล้ววิ่งเข้าหาธรรมะเพื่อหาทางสงบ    แม้สงบได้ก็อาจไม่นาน ถ้าต้องตกอยู่ในวังวนเดิม ๆ อีก แต่จงใช้ธรรมะในการประคองสติ  ช่วยจัดระเบียบความคิดและช่วยขัดเกลาจิตใจให้ดำเนินชีวิตไปได้ดียิ่งๆขึ้น  ขอจงคิดเสียว่า ทุกช่วงเวลาที่ผ่านมา  เราได้ทำดีที่สุดแล้ว  ขอจงวางใจให้เป็นกลาง ไม่โหยหา  ไม่ยึดติด   ไม่โทษความจน  ไม่โทษความรวย  ไม่โทษความทุกข์ ไม่โทษความสุข ทุกสิ่งล้วนคือครูผู้สอนสัจธรรมให้แก่เรา ว่าไม่มีใครย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ และจงพอใจกับสิ่งที่เป็นไปในปัจจุบันขณะ คิดในแง่ที่ดีว่า แม้ในยามทรุด เรายังประคองตัวไว้ได้ก็นับว่าดีมากแล้ว และใช้สติในการดำเนินชีวิตต่อไป

…. พอใจในสิ่งที่มี ยินดีกับสิ่งที่ผ่าน ไม่อาลัยกับสิ่งที่จาก …

 

ข้อคิดจากพระครูธรรมธร ดร.สาคร สุวฑ.ฒโน